วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

มะขามป้อม


ชื่อของมะขามป้อม
ชื่อพื้นเมือง มะขามป้อม (ทั่วไป) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) กำทวด (ราชบุรี) มั่งลู่ สันยาส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus emblica Linn.
ชื่อวงศ์ มะไฟ Euphorbiaceae
ชื่อสกุลไม้ มะขามป้อม Phyllanthus L.
ชื่อสามัญ Emuc myrabolan, Malacca tree

มะขามป้อม (Indian gooseberry) ชาวฮินดูเรียกมะขามป้อมอีกชื่อหนึ่งว่า "อะมะลา" หรือ "อะมะลิกา"มะขามป้อมอุดมไปด้วยวิตามินซี นอกจากวิตามินซีช่วยป้องกันหวัด ทำให้ชุ่มคอ บำรุงเสียงแล้ว วิตามินซียังมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ มะขามป้อมจึงถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในรูปแบบอาหารเสริม เพื่อบำรุงตับ และป้องกันโรคเรื้อรัง ลดโอกาสการแพ้ที่เกิดจากสารเคมี วิตามินซีที่พบอยู่ในผลมะขามป้อมมีมากที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับพืชทุกชนิด ที่สำคัญที่หลายคนมองข้ามและไม่รู้ก็คือ ในผลของมะขามป้อมจะมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์วิตามินซี ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นานในผลแห้งของมะขามป้อมที่เก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าเก็บผลมะขามป้อมผลแห้งไว้ในตู้เย็นนาน 1 ปี จะเสียวิตามินซีไปเพียง 20% เท่านั้น คนอินเดียมีความเชื่อว่าถ้ารับประทานผลมะขามป้อมเป็นประจำ จะช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้มีความพอเหมาะพอดี การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นผลต่อการป้องกันโรคได้ มะขามป้อมเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสระแก้ว มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือ กันโตด (เขมร - กาญจนบุรี) กำทวด (ราชบุรี) มะขามป้อม (ทั่วไป) มั่งลู่, สันยาส่า (กะเหรี่ยง - แม่ฮ่องสอน)











ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลาง สูง 8-12 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทา กิ่งก้านแข็งและเหนียวผิวเรียบหรือค่อนข้างเรียบ เปลือกในสีชมพูสด ใบเดี่ยว มีลักษณะใบประกอบคล้ายใบมะขาม รูปขอบขนานติดเรียงสลับ กว้าง1- 5 มม. ยาว 4-15 มม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมนหรือเว้าเข้า ขอบใบเรียบ สีเขียวอ่อนเรียงชิดกัน  เส้นแขนงใบไม่ชัดเจนดอกขนาดเล็กแยกเพศ แต่อยู่บนกิ่งหรือต้นเดียวกัน ออกตามง่ามใบ 3-5 ดอกแน่น ตามปลายกิ่ง ดอกมีกลีบเลี้ยง 6 กลีบ ดอกสีขาวหรือขาวนวล มีเกสรเพศผู้สั้นๆ 3-5 อัน ก้านดอกสั้น ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.3-2 ซม. เป็นพูตื่นๆ 6 พู ผิวเรียบ  ผลทรงกลมมีเนื้อหนา 1.2-2 ซม. ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีเขียวอ่อนค่อนข้างใส มีเส้นริ้วๆ ตามยาว สังเกตได้ 6 เส้น เนื้อผลรับประทานได้มีรสฝาดเปรี้ยว ขมและอมหวาน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมี 6 เส้น เมล็ดมี 6 เมล็ด
ระยะเวลาในการออกดอกและเป็นผล ประมาณเดือนกันยายน และเป็นผลประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม-มกราคม-กุมภาพันธ์

การขยายพันธุ์ นิยมใช้เมล็ดที่กระตุ้น ด้วยความร้อนก่อนที่จะนำไปเพาะ

คุณค่าทางอาหาร
กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานสารอาหารของลูกมะขามป้อมสด เปรียบเทียบกับลูกมะขามป้อมแช่อิ่ม ในส่วนที่กินได้ ๑๐๐ กรัม และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้
สารอาหาร                 ผลสด             แช่อิ่ม              หน่วย
พลังงาน                      ๕๘.๐๐               ๒๒๒               แคลอรี
น้ำ                              ๘๔.๑๐            ๓๗.๖๐               กรัม
ไขมัน                             ๐.๕๐              ๐.๖๐                กรัม
คาร์โบไฮเดรต            ๑๔.๓๐          ๕๙.๘๐                กรัม
เส้นใยอาหาร                 ๒.๔๐              ๑.๐๐                กรัม
โปรตีน                           ๐.๗๐             ๐.๕๐                 กรัม
แคลเซียม                         ๒๙                ๓๙                 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส                         ๒๑                ๑๘                 มิลลิกรัม
เหล็ก                               ๐.๕                ๑.๒                มิลลิกรัม
วิตามินเอ                        ๑๐๐                  -                   หน่วยสากล
วิตามินบี                    ๑ ๐.๐๓              ๐.๐๒                มิลลิกรัม
วิตามินบี                    ๒ ๐.๐๔              ๐.๐๙               มิลลิกรัม
ไนอะซิน                           ๐.๒                ๐.๑                มิลลิกรัม
วิตามินซี                        ๒๗๖                   ๓

สารที่พบ
ผลสด มีวิตามินซี ร้อยละ ๑-๑.๘ นับว่ามีปริมาณมากและปริมาณค่อนข้างแน่นอน (วิตามินซีในน้ำคั้นจากผลมะขามป้อม มีมากประมาณ ๒๐ เท่าของน้ำส้มคั้น มะขามป้อม ๑ ผล มีปริมาณวิตามินซีเทียบเท่าที่มีในผลส้ม ๑-๒ ผล) นอกจากนั้นยังมี สารแทนนิน (tannin) ร้อยละ ๒๘
ผลแห้ง มีกรดมิวซิก (mucic acid) ร้อยละ ๔-๙
เปลือกผล มีกรดเอลลาจิก (ellagic acid), กรดฟิลเลมลิก (phyllemblic acid) และสารฟีนอลส์ (phenols)
เนื้อผลสด มีน้ำร้อยละ ๘๑.๒ โปรตีนร้อยละ ๐.๕ ไขมันร้อยละ ๐.๑ คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ต่างๆ กรดนิโคตินิก วิตามินซี เพ็กทิน และแทนนินจำนวนมาก
เมล็ด มีน้ำมัน (fixed oil) ประมาณร้อยละ ๒๖ (ประกอบด้วย linolenic acid ร้อยละ ๘.๘, linoleic acid ร้อยละ ๔๔, oleic acid ร้อยละ ๒๘.๔, stearic acid ร้อยละ ๒.๒, palmitic acid ร้อยละ ๓, myristic acid ร้อยละ ๑) นอกจากนั้น ยังมี phosphatides และน้ำมันระเหยอีกเล็กน้อย
ใบ มี amlaic acid, lupeol, มีแทนนิน ร้อยละ ๒๒ ของน้ำหนักแห้ง
เปลือกต้น มี lupeol, leucodelphinidin มี แทนนิน ร้อยละ ๘-๙ ของน้ำหนักแห้ง
กิ่งก้านเล็ก มีแทนนิน ร้อยละ ๒๑ ของน้ำหนัก แห้ง
ราก มี lupeol, ellagic acid

ส่วน ของ "มะขามป้อม" ที่นำไปใช้ประโยชน์
ราก น้ำต้มรากของต้นมะขามป้อม กินเป็นยาลดไข้ เป็นยาเย็น ฟอกเลือด และทำให้อาเจียน ถ้ากลั่นรากจะได้สารที่มีคุณสมบัติเป็นยาฝาดสมานที่ดีกว่าสีเสียด
ลำต้น มีเนื้อไม้แข็ง แช่อยู่ในน้ำมีความคงทนมาก ใช้งานได้ดี ใช้ทำเครื่องประดับ เสาเข็ม หรือใช้เป็นเชื้อเพลิง
ต้น เปลือก เป็นยาฝาดสมาน
ใบ น้ำต้มใบใช้อาบลดไข้
ใบแห้ง มีแทนนินมากใช้ย้อมเส้นใย เช่น ไหม ขนสัตว์ ให้สีน้ำตาลเหลือง แต่ถ้าใช้เกลือของเหล็ก เช่น เฟอร์รัสซัลเฟตเป็นตัวช่วยทำให้สีติดทนจะได้ สีดำ
ดอก มีกลิ่นหอมคล้ายผิวมะนาว ใช้เข้าเครื่องยา เป็นยาเย็นและยาระบาย
ยางจากผล รสเปรี้ยวฝาดขม หยอดตาแก้อักเสบ กินช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ
เมล็ด ชงน้ำร้อนกินแก้ไข้ โรคเกี่ยวกับน้ำดี คลื่นไส้ อาเจียน หืด หลอดลมอักเสบ และใช้ล้างตา แก้โรคตาต่างๆ เมล็ดเผาเป็นเถ้าผสมน้ำมันพืช ใช้ทาแก้หิดและแผลตุ่มคันต่างๆ น้ำมันบีบจากเมล็ดใช้ทาศีรษะ ทำให้ผมดกดำขึ้น ทาครั้งแรกๆ ผมเก่าจะหลุดร่วงไป แล้วผมใหม่จะงอกขึ้นมาดกขึ้น
การศึกษาวิจัยเพื่อนำมะขามป้อมไปใช้ประโยชน์
ต้านอนุมูลอิสระ : พบว่าสารจากมะขาม-ป้อมต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก แม้ว่ามะขามป้อมจะมีวิตามินซีสูงมากแต่ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมิได้เกิดจากวิตามินซีเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันพบว่าในมะขามป้อมมีสารพวกแทนนินซึ่งประกอบด้วย emblicanin A 37% emblicanin B 33% punigluconin 12% และ peduculagin 14%

ต้านแบคทีเรีย
ผลมะขามป้อม ทำให้เป็นกรดด้วยกรดเกลือ แล้วสกัดด้วยอีเทอร์ และแอลกอฮอล์ สารสกัดทั้งสองนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อเชื้อรา สารสกัดด้วยอีเทอร์มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้แรงกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ในความเข้มข้นขนาด ๐.๑๒ มก. ต่อ มล. จะยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus, Salmonella typhosa และ Salmonella paratyphi และในความเข้มข้นขนาด ๐.๔๒ มก. ต่อมล. สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus albus,Salmonellaschottmulleri และ Shigella dysenteriae
น้ำสกัดจากเปลือกต้น มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus, Streptococcus strain B, Pseudomonas aeruginosa และ Escherichia coli

ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
สารสกัดจากผลมะขามป้อมยังมีฤทธิ์ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน โดยทดลองให้หนูใหญ่ที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย (โดยการฉีด isoproterenol เข้าใต้ผิวหนัง ขนาด ๘๕ มก.ต่อน้ำหนักตัว ๑ กก. ติดต่อกัน ๒ วัน) และกินสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผล ในขนาด ๑ กรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กก. ติดต่อกัน ๒ วัน ตรวจดูผลหลังจากฉีด isoproterenol เข็มแรกแล้ว ๔๘ ชั่วโมง หนูใหญ่กลุ่มที่ฉีด isoproterenol อย่างเดียว มี cardiac glycogen ลดลง และระดับของ SUOT, SGPT และ LDH เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ส่วนกลุ่มที่ฉีด isoproterenol และให้กินสารสกัดจากผลจะมีระดับของ cardiac glycogen เพิ่มขึ้น ระดับของเอนไซม์ SGOT, SGPT และ LDH ลดลงอย่างเด่นชัด
นอกจากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าสารสกัดของมะขามป้อมมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือดทั้งในสัตว์ทดลองและคน มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านไวรัส มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

ยอป่า


ชื่อวิทยาศาสตร์                     Morinda elliptica Ridl
ชื่อทางพฤกษาศาสตร์  Morinda elliptica Ridl
วงศ์                         RUBIACEAE        
ชื่อสามัญ                               -              
ชื่อท้องถิ่น                             
ยอเถื่อน ยอป่า(ภาคกลาง) สลักป่า สลักหลวง(เหนือ) อุ้มลูกดูหนัง(สระบุรี) กะมูดู(มลายู)
ช่วงการออกดอกและติดผล: ระหว่างเดือนเมษายน ถึงกรกฎาคม
การขยายพันธุ์:ใช้เมล็ด หรือปักชำ











 ลักษณะทางพฤกษ์ศาสตร์                                                 
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 4-15 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเหลือง เมื่อแก่แตกเป็นร่องขรุขระสีน้ำตาลปนเหลือง เนื้อไม้สีเหลือง ต้นใบกิ่งก้านคล้ายยอบ้าน แต่ยอป่าใบแคบยาวเรียว ใบเดี่ยวรูปหอกหลังใบและท้องใบเกลี้ยง ขอบใบเรียบ ดอกเล็กเป็นช่อออกตามง่ามใบ กลีบดอกสีขาวโคนกลีบติดกัน ผลกลมสีเขียวเข้ม มีตาเป็นตุ่มรอบผล ผลมีขนาดเล็กและกลมกว่ายอบ้าน เมื่อสุกเต็มที่จะมีสีดำสนิท


ยอป่า พบ มากในป่าเบญจพรรณแล้ง และป่าแดง ไม้ยอป่าใช้ทำเป็นเครื่องเรือนและเสาบ้าน ได้ ส่วนเปลือกราก (ที่อายุ ๓-๔ ปี) เนื้อไม้และ ใบ ใช้ทำเป็นสีย้อมผ้าได้ (ให้สีแดง)
คนโบราณท่านนิยมปลูกยกไว้ในบริเวณบ้าน โดยกำหนดปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ (อาคเนย์) เชื่อว่าจะป้องกันจัญไรได้ ทั้งชื่อ ยอยังเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดว่า จะได้รับการสรรเสริญเยินยอ หรือยกยอปอปั้นในสิ่งที่ดีงามทางภาคอีสานยอป่าถือว่าเป็นไม้มงคลของคนอีสาน ในการนำข้าวขึ้นยุ้งจะต้องตัดเอากิ่งของยอป่ามาค้ำยุ้งไว้ก่อนนำข้าวขึ้นยุ้ง เพื่อเป็นศิริมงคล มีความหมายว่าให้ข้าวเพิ่มพูน ในทางสมุนไพรใช้แก่นต้มดื่มเป็นยาฟอกเลือด ขับลม ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน เหมาะที่จะปลูกตามบ้านเป็นไม้หอมที่ดีอีกชนิดหนึ่ง

ส่วนยอบ้าน ขึ้นได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย เปลือก ราก เนื้อไม้ และใบของยอบ้าน ใช้ทำเป็นสีย้อมผ้าได้เช่นกัน โดยเปลือก ราก เนื้อไม้ และใบ จะให้สีเหลืองแกมแดง เปลือกรากให้สีแดง เนื้อรากให้สีเหลือง ใช้ย้อมผ้าไหมและผ้าฝ้าย ซึ่งให้สีคงทนตามธรรมชาติ  นอกจากนี้ ยอบ้านยังมีประโยชน์ในด้านอาหาร และด้านยารักษาโรคด้วย
ประโยชน์และสรรพคุณยาไทย           

แก่น รสขมร้อน ต้มหรือดองสุราดื่ม ขับเลือดและขับน้ำคาวปลาให้แห้ง ป้องกันสันนิบาตหน้าเพลิง ขับและฟอกโลหิตระดู แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ ขับผายลม


วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของคอลลาเจน






คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งของร่างกายที่มีกรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เป็นสารตั้งต้นหลักของผิวพรรณ กระดูก และผนังหลอดเลือด ร่างกายของคนเราจะมีคอลลาเจนอยู่ร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือ 1 ส่วน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย คอลลาเจนมีส่วนสำคัญทำให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น และสารคอนดรอยตินในคอลลาเจนยังช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกอ่อน ลดอาการเสื่อมของไขข้อในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังช่วยให้ไขมันที่สะสมในร่างกายถูกเผาผลาญเป็นพลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพทำให้มีรูปร่างดี และไม่อ้วน
หน้าที่ของคอลลาเจน
คอลลาเจน ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมเซลล์แต่ละเซลล์เข้าด้วยกันคอลลาเจนเสริมความเรียบตึง ของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรง เรียบเนียน ทำงานเสริมกับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อิลาสติน’ ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงสร้างของผิว ช่วยให้ผิวเต่งตึง อิลาสตินจะมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้มีความแข็งแรง ทนต่อสภาพถูกทำลาย ช่วยกระชับกล้ามเนื้อไม่ให้หย่อนยาน ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น ชะลอ เยียวยาการเกิดริ้วรอย และยังบำรุงเล็บ เส้นผมให้มีสุขภาพดีอีกด้วย  หลังอายุ 20 ปี คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจนคือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดด มลพิษต่างๆ บุหรี่ สารปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไป และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ชั้นผิวหนังมีการยุบตัวลง ต้นเหตุของ ความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณ และริ้วรอย คอลลาเจนมีคุณสมบัติรักษาน้ำในผิวและช่วยป้องกันเชื้อโรค จึงถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่มีแผลไฟไหม้


แหล่งที่มาของคอลลาเจนที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์
เมื่ออายุคนเรามากขึ้น คุณสมบัติของคอลลาเจนจะเสื่อมลง ทำให้ประสิทธิภาพการอุ้มน้ำไม่ดี จะเห็นได้ชัดจากการที่ผิวหนังแห้ง เหี่ยว หย่อนคล้อย กระดูกเสื่อม เส้นเอ็นตามร่างกายและข้อทั้งหลายตึง ทำให้เกิดการอักเสบง่าย ดังนั้นจึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยเสริมและทดแทนคุณภาพของธรรมชาติที่ถดถอยลง
 คอลลาเจนที่ได้จากภาคอุตสาหกรรมจะได้มาจากการสกัดจากผิวหนังและกระดูกของปลา ลูกวัวและหมู แต่เนื่องจากคุณสมบัติที่ไม่ละลายน้ำโดยธรรมชาติ ในกระบวนการสกัดจำเป็นต้องสลายด้วยกรดเพื่อให้ละลายน้ำและแยกออกจากเนื้อเยื่ออื่นๆได้ ดังนั้น ชนิดของคอลลาเจนที่นำมาใช้ประโยชน์ทั้งหมดจึงเรียกว่า ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน ซึ่งจะมีขนาดโมเลกุลที่เล็กมากเพื่อละลายน้ำและสามารถดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหารหรือผ่านผิวหนังง่ายและรวดเร็ว
ชนิดของอาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
มีอาหารจำนวนมากที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เอง เช่นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถัวเหลืองทั้งหลายและเนยแข็งหรือชีส นอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแล้วยังช่วยชะลอความชราภาพของผิวหนังอีกด้วยผักใบเขียวเข้ม ก็ประกอบไปด้วยสารสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เองผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีและวิตามินเอสูงๆ ผลไม้ที่มีสีแดง สีส้ม มีสารต้านออกซิเดชั่น ต้านอนุมูลอิสระจะเสริมให้มีการสร้างคอลลาเจนในร่างกายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น มะเขือเทศแดง พริกหยวกแดง หรือผลไม้ที่มีสีแดงคล้ำ เช่น บลูเบอรี่ แบล็กเบอรี่ เป็นต้นอาหารทะเลที่มีสารโอเมก้า เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และถั่วต่างๆ ก็สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเองได้สิ่งที่ผู้บริโภคควรคำนึงถึง ก็คือ การบริโภคอาหารให้มีความสมดุลระหว่างแป้ง เนื้อสัตว์ ผักใบเขียวและผลไม้ที่ให้ประโยชน์ดังกล่าว ร่างกายจึงจะได้รับประโยชน์และเห็นผลของสุขภาพและการชะลอวัย

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

สารGABA

สาร GABA คืออะไร article
GABAหรือ Gamm aminobutyric เป็นกรดอะมิโนที่ผลิตจากกระบวนการ decarboxylation ของกรดอะมิโน (glutamic acid) กรดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง  นอกจากนี้ GABA ยังถือเป็นสารสื่อประสาทประเภท สารยับยั้ง (inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้นซึ่งช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ (anterior pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดความกระชับและเกิดสาร lipotropic ซึ่งเป็นสารป้องกันการสะสมไขมัน




จากการศึกษาในหนู พบว่าการบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสาร GABA มากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า  จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง  เนื่องจากสารเบต้าอไมลอยด์เปปไทด์ (Beta-amyloid peptide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ (อัลไซเมอร์)  ดังนั้นจึงได้มีการนำสาร GABA มาใช้ในวงการแพทย์  เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยด้านสุขภาพกล่าวว่า 
ข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วย GABA มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลด LDL (Low densitylipoprotein) 
ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี ตลอดจนใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้ 

จากการวิจัยเบื้องต้นของ อ.พัชรี ตั้งตระกูล จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการศึกษาหาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสภาพการผลิตข้าวกล้องงอกที่มีประสิทธิภาพ พบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อนำมาเพาะเป็นข้าวกล้องงอกจะมีสาร GABA มากที่สุด (15.2 - 19.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ซึ่งสูงกว่าข้าวกล้องปกติ          ส่วนสภาวะที่จะทำให้ข้าวกล้องงอกได้ดีคือ ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำราว 48 - 72 ชั่วโมงในหม้อแช่   โดยมีการควบคุมอุณหภูมิ การไหลเวียนน้ำ  ความดัน และความเป็นกรดด่างของน้ำ  เพื่อให้ความชื้นจากน้ำไปกระตุ้นให้เมล็ดข้าวงอกและเปลี่ยนกรดกลูตามิกไปเป็นสารกาบาอันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต่อมาเมื่อได้ข้าวกล้องงอกในขั้นตอนนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ข้าวกล้องงอกหยุดการงอกต่อไป โดยอบแห้งให้มีความชื้นต่ำกว่า 14% ในหม้ออบแห้ง จากนั้นจึงบรรจุลงในถุงสุญญากาศพร้อมขายเป็น ลำดับสุดท้าย  สำหรับข้าวกล้อง ที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้นั้นจะต้องเป็นข้าวกล้องที่ผ่านการกะเทาะเปลือกมาไม่นานเกิน 2 สัปดาห์ 

การพัฒนานวัตกรรมข้าวไทย
จากการศึกษาทางชีวเคมีพบว่า"เมล็ดข้าว"ประกอบด้วยเมล็ดข้าวขาว,รำข้าว(เยื่อหุ้มเมล็ด)และเปลือกข้าว สารอาหารในเม็ลดข้าวประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีโปรตีน วิตตามินบี วิตตามินอีและแร่ธาตุที่แยกไปอยู่ในส่วนต่างๆของเมล็ดข้าว นอกจากนี้ ยังพบสารอาหารประเภทไขมันซึ่งพบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่ จึงมักนำรำข้าวมาแปรรูปเป็นน้ำมันรำข้าวที่มีส่วนประกอบของวิตตามินอีเป็นหลัก

ข้าวเมื่ออยู่ในภาวะที่มีการเจริญเติบโต จะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในเมล็ดข้าว การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงานเมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก(malting)สารอาหารที่ถูกเก็บอยู่ในเมล็กข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามระบวนการทางชีวเคมีจนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กลง(oligosaccharide)และน้ำตาลรีดิวซ์(reducing sugar)นอกจากนี้ โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็น กรดอะมิโนและเปปไทด์ร่วมทั้งยังพบการสะสมสารเคมีสำคัญต่างๆเช่นแกรมมาออริซานอล(gamma orazynol)โทโคฟีรอล(tocopherol)โทโคไตรอีนอล(tocotrienol)และโดยเฉพาะ"สารแกมมาโนบิวทิริกแอซิค"หรือที่รู้จักกันว่า"กาบา"( Gamm aminobutyric)


วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

น้ำคือชีวิต



ความสำคัญของน้ำต่อสิ่งมีชีวิต







น้ำสำคัญต่อทุกชีวิตบนโลก ชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้หากปราศจากน้ำ  เนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก  มนุษย์เราอาจอดอาหารได้นานกว่า 1 เดือน แต่ไม่สามารถอดน้ำได้เกิน 7 -10 วัน เพราะต้องมีการทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกายทางไตและทางผิวหนังในรูปของของเสียตลอดเวลา       
            เลือดเนื้อที่เป็นองค์ประกอบของร่างกายคนนั้น มีน้ำจำนวนราวร้อยละ 60 - 75 ของน้ำหนักตัว คนในวัยหนุ่มจะมีจำนวนร้อยละ 75 และจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงประมาณร้อยละ 65 -60 ในวัยชรา น้ำแทรกอยู่ในทุกอณูของร่างกายตามสัดส่วนที่ต่างกัน เช่น มีน้ำราวร้อยละ 79 ในหัวใจ ปอด และเลือด ร้อยละ 76 ในกล้ามเนื้อ  ร้อยละ 75 ในสมอง ร้อยละ 70 ในตับ ร้อยละ 22 ในกระดูก และร้อยละ 2 -10 ในฟัน  ขณะเดียวกันก็มีการขับน้ำออกจากร่างกายตลอดเวลาเช่นกัน เช่น ทกครั้งที่เราหายใจ เรากักตุนอากาศเข้าไว้ในปอดครั้งละครึ่งลิตร แต่ลมหายใจออกเป็นน้ำในสภาพของไอ เราจึงสูญเสียน้ำจากการหายใจออกเฉลี่ยประมาณครึ่งลิตรต่อวัน ต่อมน้ำลายสามคู่ที่อยู่ใต้ลิ้นจะพ่นน้ำลายออกหล่อเลี้ยงปากวันละหนึ่งลิตร เส้นโลหิตฝอยพัน ๆ เส้นภายในลำไส้จะดูดซึมน้ำวันละ 5 ลิตร  และ 2 ใน 3 ของมวลสารอาหารที่ย่อยแล้วจากกระเพาะและลำไส้เล็กนั้นเป็นน้ำ โดยลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่กรองน้ำออกจากร่างกายกลายเป็นเหงื่อ เมื่อเราออกกกำลังกายหรือช่วงอากาศร้อน ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น แต่ก็ทำให้สูญเสียน้ำออกไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว     
            
คนต้องดื่มน้ำสะอาดวันละ 2 - 2.5  ลิตร  ผู้ที่ชอบดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  ทำให้กระตุ้นการขับปัสสาวะซึ่งเท่ากับลดระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย  จึงต้องดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป เราสามารถดื่มน้ำได้ตลอดเวลา และควรดื่มน้ำตั้งแต่ตื่นนอน ก่อนนอน และครึ่งชั่วโมงก่อนอาหาร ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างอาหาร  นอกจากนั้น ยามใดที่รู้สึกไม่สบาย ปวดศรีษะ เหนื่อยหรืออ่อนกำลังลง กระเพาะมีกรดมากไป ท้องผูก หัวใจเต้นผิดปกติ เครียด เป็นต้น วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยได้ทันทีคือดื่มน้ำเพิ่มขึ้น น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นน้ำชนิดเดียวที่มีสรรพคุณทุกชนิดพร้อมในตัว 
            
น้ำที่ดีควรมีเกลือแร่และธาตุโลหะผสมปนอยู่หลายชนิดในสัดส่วนที่พอเหมาะ เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีที่ช่วยกระตุ้น ฟื้นฟู และธำรงความสมดุลของแร่ธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายคน น้ำที่ไม่มีเกลือแร่เจือปนเลยหรือมีสารที่ร่างกายไม่ต้องการปนอยู่มากเกินไปนั้นไม่ดีต่อร่างกาย  จริง ๆ แล้ว น้ำที่ได้จากวัฏจักรตามธรรมชาติของน้ำจะเป็นน้ำที่ดีพอ เพราะมันมีเวลาไหลลงสู่ชั้นพื้นดินตื้นลึกต่าง ๆ  ผ่านเขตอุณหภูมิต่าง ๆ ในพื้นโลกแล้วไหลขึ้นมากับต้นไม้ป่าไม้ คายออกซิเจนหรือไหลเซาะดินตามทางที่ผ่านลงสู่ทะเล มีการคำนวณกันว่าปริมาตรน้ำที่ไหลวนจากแม่น้ำลำคลองและธารน้ำต่าง ๆ รวมกันลงทะเลและกลับขึ้นไปเป็นฝนมีจำนวนประมาณ 9,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร แต่วัฏจักรดังกล่าวถูกรบกวนมากขึ้นทุกที เนื่องจาการทำลายป่าเพื่อสร้างชุมชนใหม่ ๆ ความจริงตามวัฏจักรนี้  น้ำได้ผนวกเอาสารเกลือแร่ทั้งจากดินและบรรยากาศเอาไว้ แต่การที่มีระบบเก็บกักน้ำในที่โล่ง และมีกำแพงขอบกั้นในลักษณะของเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำโดยเฉพาะในเขตร้อน ทำให้ร้อยละ 25 ของน้ำดังกล่าวระเหยไปในอากาศ คุณภาพตามธรรมชาติของน้ำถูกทำลายไปเสีย ที่จริงแล้วน้ำจากแหล่งต้นน้ำธรรมชาติเป็นน้ำที่ดีที่สุดโดยเฉพาะเมื่อมันไหลมาจากซอกเขา น้ำจากต้นน้ำที่ดีที่สุดจะมีสีน้ำเงินและสั่นระริกไหวในแสงแดด แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบด้วยว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ใกล้ละแวกนั้นหรือไม่ หรือมีการตรวจวิเคราะห์สิ่งเจือปนในน้ำนั้นอย่างสม่ำเสมอหรือไม่เช่นกัน







        หน้าที่ของน้ำต่อสิ่งมีชีวิต
               
             1. การใช้น้ำในร่างกายของสิ่งมีชีวิต  เนื่องจากน้ำเป็นสารละลายที่เป็นกลาง และไวต่อการทำปฏิกิริยาเคมี การรวมตัวกันทางเคมีทั้งหลายนั้นต้องการน้ำมาก  เนื่องจากต้องทำให้สารเคมีทุกตัวลอยอยู่ในน้ำได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลง
            
              2. น้ำช่วยปรับร่างกายของสิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เนื่องจากน้ำมีค่าความร้อนจำเพาะสูง ทำให้น้ำสามารถดูดหรือคายพลังงานความร้อนจำนวนมากได้ ก่อนที่อุณหภูมิของน้ำจะเปลี่ยนแปลง สมบัติขัอนี้ของน้ำมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับสัตว์เลือดอุ่น เพราะจะทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถรักษาอุณหภูมิให้เหมาะกับการดำรงชีวิตได้ แม้ว่าอุณหภูมิรอบตัวจะเปลี่ยนแปลงมากเพียงใดก็ตาม



ปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับร่างกายในหนึ่งวัน

  สุขภาพของคนเราจะดีขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ คือการดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ฉลาดดื่ม’ ด้วยสูตรสำเร็จง่ายๆ ดังนี้
 1.ปริมาณที่ควรดื่มในแต่ละวัน มีสูตรคำนวณดังนี้  น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วย 2 คูณด้วย 2.2 แล้วคูณด้วย 30 เช่น น้ำหนัก 55 กก. เท่ากับ 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 ซีซี แต่ไม่ถึงขั้นต้องตวงดื่มกันนะครับ แค่เป็นตัวเลขคร่าวๆ ให้ใสใจที่จะดื่มให้พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละคนเท่านั้น
 2.วิธีการดื่ม ส่วนใหญ่ที่ดื่มกันไม่พอ แม้จะทราบแล้วว่าจะต้องดื่มกันมากน้อยแค่ไหนแล้วก็ตาม เพราะไม่มีเวลา จึงมักจะใช้วิธีกรอกน้ำกันแก้วโตๆ ดื่มรวดเดียวกระดกหมดแก้ว แล้วมีภาระติดพันจนต้องกลั้นปัสสาวะกันนานๆ จนเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะไวหรือช้ำรั่ว และกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังตามมา วิธีดื่มที่แยบยลคือ ต้องวางแผนให้จังหวะการดื่มพอดีกับการถ่ายออก เมื่อกระเพาะปัสสาวะเพิ่งเริ่มเต็ม เพราะหลังการดื่มแต่ละครั้งน้ำจะไปถึงปลายทางที่กระเพาะปัสสาวะประมาณครึ่งชั่วโมงครับ เช่น ก่อนออกจากที่ทำงานหรือก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง งดการดื่มน้ำและถ่ายออกทุกครั้ง กระเพาะปัสสาวะก็จะว่างและได้พักบ้าง หรืออาจใช้วิธีค่อยๆ ทยอยดื่มทีละน้อย แล้วเข้าห้องน้ำทันทีที่เริ่มปวดในขณะที่กระเพาะปัสสาวะยังถ่ายออกได้หมด ไม่เหลือค้าง เพราะไม่ได้อุ้มน้ำไว้นานๆ จนหมดแรง แค่นี้ก็จะเป็นการเห็นใจกระเพาะปัสสาวะ สุขภาพก็จะแข็งแรง และไม่เกิดโรคจากพฤติกรรมทำร้ายกระเพาะปัสสาวะอย่างไม่ได้ตั้งใจนะครับ


วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

เห็ดเข็มทอง



เห็ดเข็มทอง

เห็ดเข็มทอง (Flammulina velutipes (Curt:Fr.) Singer) มีชื่อสามัญว่า Enokitake หรือ The Golden Mushroom สามารถขึ้นได้ในสภาพที่เย็นจัด สามารถทนอยู่ในสภาพที่เป็นน้ำแข็งจนน้ำแข็งละลาย จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Winter Mushroom ปกติจะมีดอกขนาดเล็ก และสั้น แต่ที่วางขายในตลาดทั่วไปจะมีดอกเล็ก ลำต้นยาวเป็นกระจุกผิดไปจากที่พบเห็นในธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปริมาณและน้ำหนักที่ดี และสะดวกในการบรรจุจำหน่าย เป็นเห็ดที่มีการพัฒนามานานมาก โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น มีการวิจัย พัฒนาสายพันธุ์และวิธีการเพาะเห็ดชนิดนี้อย่างกว้างขวาง จึงเป็นผู้ผลิตเห็ดเข็มทองรายใหญ่สุดของโลก เห็ดชนิดนี้สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายประเภท อาทิ สุกี้,ผัดน้ำมันหอย,เห็ดเข็มทองผัดน้ำแดง,ยำเห็ดเข็มทองฯลฯ ซึ่งอาหารเหล่านี้สามารถทำทานเองหรือหาทานได้ไม่ยากครับ


  วิธีการเพาะเห็ดเข็มทอง
          เห็ดเข็มทอง เป็นพวกย่อยสลายเนื้อไม้ ชอบขึ้นบนตอไม้ วัสดุที่ใช้เพาะจึงเป็นขี้เลื่อย หรือซังข้าวโพดบดละเอียดผสมอาหารเสริม ได้แก่ รำข้าวละเอียด pH ให้อยู่ระหว่าง 6.0-7.5 ความชื้น 6560-% บรรจุในขวดพลาสติกทนร้อน อบฆ่าเชื้อที่ 121°C เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่เชื้อเห็ดเลี้ยงไว้ในห้องอุณหภูมิ 18-22°C ประมาณ 1 เดือน พอเชื้อเจริญเต็มขวด นำไปเข้าห้องเปิดดอกที่อุณหภูมิ 10-15 °C ความชื้น 85-95% เมื่อดอกเห็ดเจริญสูงกว่าปากขวด 2-3 ซม. ให้ใช้กระดาษสะอาดหรือแผ่นพลาสติกหุ้มรอบปากขวด เพื่อช่วยบังคับให้ดอกเห็ดเจริญเติบโตในแนวสูง และเป็นกลุ่มก้อนง่ายต่อการเก็บดอกและคัดบรรจุ

          คุณค่าทางโภชนาการ          โปรตีน 25%, ไขมัน 1%, แป้ง 53%, เยื่อใย 12%, เถ้า 8%, วิตามินบี 1, วิตามินบี, วิตามินซี และ arginine


        สรรพคุณทางยา  ถ้ารัปประทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรัง เห็ดเข็มทองมีสาร flammulin สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง(Ehrlich)และเซลล์มะเร็ง Sarcoma 180 ในหนูขาวได้ผลถึง 81.1-100% และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิต