วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

น้ำคือชีวิต



ความสำคัญของน้ำต่อสิ่งมีชีวิต







น้ำสำคัญต่อทุกชีวิตบนโลก ชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้หากปราศจากน้ำ  เนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก  มนุษย์เราอาจอดอาหารได้นานกว่า 1 เดือน แต่ไม่สามารถอดน้ำได้เกิน 7 -10 วัน เพราะต้องมีการทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกายทางไตและทางผิวหนังในรูปของของเสียตลอดเวลา       
            เลือดเนื้อที่เป็นองค์ประกอบของร่างกายคนนั้น มีน้ำจำนวนราวร้อยละ 60 - 75 ของน้ำหนักตัว คนในวัยหนุ่มจะมีจำนวนร้อยละ 75 และจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงประมาณร้อยละ 65 -60 ในวัยชรา น้ำแทรกอยู่ในทุกอณูของร่างกายตามสัดส่วนที่ต่างกัน เช่น มีน้ำราวร้อยละ 79 ในหัวใจ ปอด และเลือด ร้อยละ 76 ในกล้ามเนื้อ  ร้อยละ 75 ในสมอง ร้อยละ 70 ในตับ ร้อยละ 22 ในกระดูก และร้อยละ 2 -10 ในฟัน  ขณะเดียวกันก็มีการขับน้ำออกจากร่างกายตลอดเวลาเช่นกัน เช่น ทกครั้งที่เราหายใจ เรากักตุนอากาศเข้าไว้ในปอดครั้งละครึ่งลิตร แต่ลมหายใจออกเป็นน้ำในสภาพของไอ เราจึงสูญเสียน้ำจากการหายใจออกเฉลี่ยประมาณครึ่งลิตรต่อวัน ต่อมน้ำลายสามคู่ที่อยู่ใต้ลิ้นจะพ่นน้ำลายออกหล่อเลี้ยงปากวันละหนึ่งลิตร เส้นโลหิตฝอยพัน ๆ เส้นภายในลำไส้จะดูดซึมน้ำวันละ 5 ลิตร  และ 2 ใน 3 ของมวลสารอาหารที่ย่อยแล้วจากกระเพาะและลำไส้เล็กนั้นเป็นน้ำ โดยลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่กรองน้ำออกจากร่างกายกลายเป็นเหงื่อ เมื่อเราออกกกำลังกายหรือช่วงอากาศร้อน ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น แต่ก็ทำให้สูญเสียน้ำออกไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว     
            
คนต้องดื่มน้ำสะอาดวันละ 2 - 2.5  ลิตร  ผู้ที่ชอบดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  ทำให้กระตุ้นการขับปัสสาวะซึ่งเท่ากับลดระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย  จึงต้องดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป เราสามารถดื่มน้ำได้ตลอดเวลา และควรดื่มน้ำตั้งแต่ตื่นนอน ก่อนนอน และครึ่งชั่วโมงก่อนอาหาร ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างอาหาร  นอกจากนั้น ยามใดที่รู้สึกไม่สบาย ปวดศรีษะ เหนื่อยหรืออ่อนกำลังลง กระเพาะมีกรดมากไป ท้องผูก หัวใจเต้นผิดปกติ เครียด เป็นต้น วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยได้ทันทีคือดื่มน้ำเพิ่มขึ้น น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นน้ำชนิดเดียวที่มีสรรพคุณทุกชนิดพร้อมในตัว 
            
น้ำที่ดีควรมีเกลือแร่และธาตุโลหะผสมปนอยู่หลายชนิดในสัดส่วนที่พอเหมาะ เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีที่ช่วยกระตุ้น ฟื้นฟู และธำรงความสมดุลของแร่ธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายคน น้ำที่ไม่มีเกลือแร่เจือปนเลยหรือมีสารที่ร่างกายไม่ต้องการปนอยู่มากเกินไปนั้นไม่ดีต่อร่างกาย  จริง ๆ แล้ว น้ำที่ได้จากวัฏจักรตามธรรมชาติของน้ำจะเป็นน้ำที่ดีพอ เพราะมันมีเวลาไหลลงสู่ชั้นพื้นดินตื้นลึกต่าง ๆ  ผ่านเขตอุณหภูมิต่าง ๆ ในพื้นโลกแล้วไหลขึ้นมากับต้นไม้ป่าไม้ คายออกซิเจนหรือไหลเซาะดินตามทางที่ผ่านลงสู่ทะเล มีการคำนวณกันว่าปริมาตรน้ำที่ไหลวนจากแม่น้ำลำคลองและธารน้ำต่าง ๆ รวมกันลงทะเลและกลับขึ้นไปเป็นฝนมีจำนวนประมาณ 9,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร แต่วัฏจักรดังกล่าวถูกรบกวนมากขึ้นทุกที เนื่องจาการทำลายป่าเพื่อสร้างชุมชนใหม่ ๆ ความจริงตามวัฏจักรนี้  น้ำได้ผนวกเอาสารเกลือแร่ทั้งจากดินและบรรยากาศเอาไว้ แต่การที่มีระบบเก็บกักน้ำในที่โล่ง และมีกำแพงขอบกั้นในลักษณะของเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำโดยเฉพาะในเขตร้อน ทำให้ร้อยละ 25 ของน้ำดังกล่าวระเหยไปในอากาศ คุณภาพตามธรรมชาติของน้ำถูกทำลายไปเสีย ที่จริงแล้วน้ำจากแหล่งต้นน้ำธรรมชาติเป็นน้ำที่ดีที่สุดโดยเฉพาะเมื่อมันไหลมาจากซอกเขา น้ำจากต้นน้ำที่ดีที่สุดจะมีสีน้ำเงินและสั่นระริกไหวในแสงแดด แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบด้วยว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ใกล้ละแวกนั้นหรือไม่ หรือมีการตรวจวิเคราะห์สิ่งเจือปนในน้ำนั้นอย่างสม่ำเสมอหรือไม่เช่นกัน







        หน้าที่ของน้ำต่อสิ่งมีชีวิต
               
             1. การใช้น้ำในร่างกายของสิ่งมีชีวิต  เนื่องจากน้ำเป็นสารละลายที่เป็นกลาง และไวต่อการทำปฏิกิริยาเคมี การรวมตัวกันทางเคมีทั้งหลายนั้นต้องการน้ำมาก  เนื่องจากต้องทำให้สารเคมีทุกตัวลอยอยู่ในน้ำได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลง
            
              2. น้ำช่วยปรับร่างกายของสิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เนื่องจากน้ำมีค่าความร้อนจำเพาะสูง ทำให้น้ำสามารถดูดหรือคายพลังงานความร้อนจำนวนมากได้ ก่อนที่อุณหภูมิของน้ำจะเปลี่ยนแปลง สมบัติขัอนี้ของน้ำมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับสัตว์เลือดอุ่น เพราะจะทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถรักษาอุณหภูมิให้เหมาะกับการดำรงชีวิตได้ แม้ว่าอุณหภูมิรอบตัวจะเปลี่ยนแปลงมากเพียงใดก็ตาม



ปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับร่างกายในหนึ่งวัน

  สุขภาพของคนเราจะดีขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ คือการดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ฉลาดดื่ม’ ด้วยสูตรสำเร็จง่ายๆ ดังนี้
 1.ปริมาณที่ควรดื่มในแต่ละวัน มีสูตรคำนวณดังนี้  น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วย 2 คูณด้วย 2.2 แล้วคูณด้วย 30 เช่น น้ำหนัก 55 กก. เท่ากับ 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 ซีซี แต่ไม่ถึงขั้นต้องตวงดื่มกันนะครับ แค่เป็นตัวเลขคร่าวๆ ให้ใสใจที่จะดื่มให้พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละคนเท่านั้น
 2.วิธีการดื่ม ส่วนใหญ่ที่ดื่มกันไม่พอ แม้จะทราบแล้วว่าจะต้องดื่มกันมากน้อยแค่ไหนแล้วก็ตาม เพราะไม่มีเวลา จึงมักจะใช้วิธีกรอกน้ำกันแก้วโตๆ ดื่มรวดเดียวกระดกหมดแก้ว แล้วมีภาระติดพันจนต้องกลั้นปัสสาวะกันนานๆ จนเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะไวหรือช้ำรั่ว และกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังตามมา วิธีดื่มที่แยบยลคือ ต้องวางแผนให้จังหวะการดื่มพอดีกับการถ่ายออก เมื่อกระเพาะปัสสาวะเพิ่งเริ่มเต็ม เพราะหลังการดื่มแต่ละครั้งน้ำจะไปถึงปลายทางที่กระเพาะปัสสาวะประมาณครึ่งชั่วโมงครับ เช่น ก่อนออกจากที่ทำงานหรือก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง งดการดื่มน้ำและถ่ายออกทุกครั้ง กระเพาะปัสสาวะก็จะว่างและได้พักบ้าง หรืออาจใช้วิธีค่อยๆ ทยอยดื่มทีละน้อย แล้วเข้าห้องน้ำทันทีที่เริ่มปวดในขณะที่กระเพาะปัสสาวะยังถ่ายออกได้หมด ไม่เหลือค้าง เพราะไม่ได้อุ้มน้ำไว้นานๆ จนหมดแรง แค่นี้ก็จะเป็นการเห็นใจกระเพาะปัสสาวะ สุขภาพก็จะแข็งแรง และไม่เกิดโรคจากพฤติกรรมทำร้ายกระเพาะปัสสาวะอย่างไม่ได้ตั้งใจนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น